ในวันที่โลกเชื่อมโยงถึงกันได้ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ ชีวิตของผู้คนก็ไร้รอยต่อมากยิ่งขึ้น การวางแผนและกำหนดกลยุทธ์การตลาดก็ไม่ต่างกัน ยิ่งเป็นการตลาดในยุคดิจิทัล ที่การซื้อ การขาย การให้บริการ การขยายฐานลูกค้า การสร้างแบรนด์ และการสร้างความภักดีของสินค้า ล้วนมีความเกี่ยวโยงกันเป็น story หรือเรื่องราว รวมถึงการตลาดในยุคดิจิทัลแทบจะไร้ข้อจำกัดด้านเวลาและสถานที่ นี่เองจึงทำให้การวางแผนการตลาดต้องปรับเปลี่ยนให้ทัน และเลือกใช้การตลาดให้เหมาะ จะใช้การตลาดแบบเดิม หรือจะเลือกใช้การตลาดดิจิทัล แล้ว Digital Marketing กับ Traditional Marketing ต่างกันอย่างไร ควรใช้กลยุทธ์ไหนในยุคปัจจุบันนี้ มาฟังคำตอบกัน
Online marketing คืออะไร
การตลาดแบบเดิมสื่อสารกันทางเดียว และไม่ได้ใช้เทคโนโลยีใด ๆ เข้ามาเป็นเครื่องมือ แต่เมื่อโลกรู้จักกับอินเทอร์เน็ต การตลาดแบบเดิมก็มาสู่การตลาดแบบออนไลน์หรือ Online marketing คือเป็นการทำการตลาด โดยอาศัยอินเทอร์เน็ตในการสื่อสารทำให้สินค้าของคุณ เป็นที่รู้จักเพิ่มมากยิ่งขึ้น ที่เห็นได้ชัดคือ การมีเว็บไซต์ประจำร้านค้า เว็บไซต์ (Website) หน้าร้านออนไลน์ที่ทุกธุรกิจต้องมีในยุค 4.0
Digital marketing คืออะไร
แต่เมื่อออนไลน์แทบจะถูกแทนที่ด้วยดิจิทัล การทำการตลาดเองก็เช่นกัน จากการตลาดแบบดั้งเดิม สู่ Online marketing ก็ทำให้เกิดมี Digital Marketing เพื่อให้การทำธุรกิจสอดคล้องกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป Digital Marketing จึงเป็นการใช้ดิจิทัลเข้ามาเป็นเทคโนโลยีพื้นฐานในการสร้างแบรนด์ สร้างการรับรู้ สร้างช่องทางการสื่อสารประชาสัมพันธ์
ยกตัวอย่างเช่น การใช้เครื่องมือ Search Engine Optimization (SEO) เพื่อการดันเว็บไซต์ของคุณให้ติดหน้าแรกของ Search Engine หรือไม่ว่าจะเป็นการทำ Content Marketing เพื่อเป็นการสื่อสารภาพลักษณ์ของแบรนด์ สินค้า ผลิตภัณฑ์ของคุณด้วยสื่อดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็น วิดีโอ รูปภาพ หรืออินโฟกราฟิก อีกตัวอย่างที่เห็นได้มากขึ้น และชัดเจนสุด ๆ คือ Mobile Marketing เป็นการทำการตลาดผ่านโทรศัพท์มือถือจากพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของสังคมมือถือเป็นสิ่งที่กลายเป็นปัจจัยที่ 5 ที่ได้รับความนิยม มีความสะดวกสบายที่จะหยิบใช้เมื่อไหร่ก็ได้ รวมถึงอัตราการใช้งานมือถือต่อวันที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้การตลาดจากออนไลน์จึงย้ายมาอยู่บนโลกดิจิทัลแบบแทบจะเต็มตัว
SEO คืออะไร สำคัญอย่างไรต่อธุรกิจในยุค IT
เทคนิคการทำ Digital Marketing แบบง่าย ๆ นักการตลาดมือใหม่ก็ทำได้
ประโยชน์จากการทำ Digital Marketing ที่คนสร้างแบรนด์ไม่ควรมองข้าม
ความต่าง ระหว่าง Digital Marketing กับ Online Marketing
ถ้าจะให้แยกแบบชัดเจนเลยคงยาก เพราะ Digital marketing เป็นการใช้สื่อในรูปแบบดิจิทัลทำการเชื่อมต่อกับลูกค้า ขณะที่ Online marketing เน้นไปที่ช่องทางอินเทอร์เน็ต เช่น เว็บไซต์ โซเชียลมีเดียแพลตฟอร์ม เป็นต้น
ข้อดีของการทำ Digital Marketing
– Digital marketing เห็นผลยั่งยืน
กระบวนการทำ Digital marketing หวังผลระยะยาวจึงมีการวางแผนแบบองค์รวม เช่น การทำ Market research เพื่อศึกษาและวิจัยตลาด การทำ SWOT Analysis เพื่อวิเคราะห์ธุรกิจของคุณในปัจจุบัน ค้นจุดแข็ง หาจุดอ่อน ประเมินโอกาสและอุปสรรคในการวางเกม การกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเพื่อสร้างการสื่อสารแบบมุ่งเป้าผ่านสื่อดิจิทัล และทั้งหมดจะนำมาหลอมรวมเพื่อค้นหาเครื่องมือ เช่น จะผลิตคอนเทนต์แบบใด ผ่านช่องทางไหนเป็นหลัก หรือเมื่อได้ลูกค้าจำนวนมาก และมีชุดข้อมูลจำนวนมากขึ้น จะนำข้อมูลนั้นมาจัดการและวิเคราะห์ให้เกิดประโยชน์อะไรได้บ้าง เช่น พฤติกรรมลูกค้า ความชอบ ข้อติเตียน เพื่อนำไปปิดจุดอ่อน และปรับปรุงพัฒนาสินค้า เป็นต้น
จะเห็นได้ว่ากระบวนการของการตลาดดิจิทัลอาศัยเวลา แต่ทำเป็นระบบระเบียบ จึงตรวจสอบได้ และเห็นผลชัดเจนได้นานกว่า
– Digital marketing สร้าง Engagement ระหว่างแบรนด์กับลูกค้า
เครื่องมือสำคัญของ Digital marketing ในการสร้าง Engagement ระหว่างแบรนด์กับลูกค้า คือ Content marketing โดยตัวเนื้อหาสามารถสร้างการรับรู้ การจดจำแบรนด์ และสร้าง Engagement หรือการมีส่วนร่วมกับแบรนด์หรือร้านค้า เนื้อหาที่ดีต้องมีคุณภาพไปพร้อม ๆ กับการสื่อสารที่สร้างความดึงดูดใจได้ และเนื้อหา ไม่เพียงแค่เป็นบทความหรือตัวหนังสือ เนื้อหาดิจิทัลจะยิ่งเพิ่มความน่าติดตาม เช่น คลิปวิดีโอ รูปภาพ หรือการใช้ influencer หรือคนดังมีชื่อเสียง
เคล็ดลับ เบื้องหลัง 5 เทรนด์ยอดนิยมสู่ความสำเร็จบน YouTube
– Digital marketing ใช้เทคโนโลยีล้ำหน้า สร้างความได้เปรียบกว่า
การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยทำให้การทำ Digital Marketing สามารถเจาะไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ชัดเจน และรวดเร็วกว่า ไม่ว่าจะเป็นการนำ Big Data หรือชุดข้อมูลขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับลูกค้า เพื่อวิเคราะห์และนำไปปรับปรุงกลยุทธ์การตลาด
หรือในอนาคตเราอาจเดินไปในร้านค้า หรือสถานที่ใดที่หนึ่งโดยที่ตัวเราเองนั่งอยู่ที่บ้านด้วยเทคโนโลยี MR หรือ Mixed Reality หรือที่หลายๆคนคุ้นเคยกับคำว่า Metaverse ก็เป็นไปได้ เช่น เดินไปชมบ้านตัวอย่าง หรือเข้าไปในคอนเสริ์ต ผ่านแว่นตา VR ความก้าวล้ำเหล่านี้จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ธุรกิจคุณจึงสามารถเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าได้มากขึ้น และขยายฐานลูกค้าจากหน้าเดิม ไปหน้าใหม่ หรือสร้าง brand loyalty ได้ดีกว่าเดิม