A/B Test คืออะไร
A/B Test ถือเป็นหนึ่งสิ่งที่นักการตลาดใช้ติดปากกันอีกหนึ่งคำ โดย A/B Test เป็นกระบวนการที่ทำให้เรารู้ว่าลูกค้าชอบอะไรกันแน่ โดยใช้การสร้างตัวโฆษณาหรือแอดมาเปรียบเทียบกันตั้งแต่ 2 แบบขึ้นไป เมื่อโฆษณาแล้วก็นำผลลัทธ์ที่ได้ ไม่ว่าจาก FB analytics หรือ Google ads analytic มาวิเคราะห์ว่าลูกค้าของเราชอบโฆษณาแบบไหน ชอบลักษณะแอดแบบ A หรือแอดแบบ B มากกว่ากัน แอดในรูปแบบใดให้ผลลัทธ์กลับมาเป็นอย่างไร
สมมุติว่าเราเสียค่าใช้จ่ายสำหรับแอด A และ B ใกล้เคียงกัน แต่แอด A เนี่ยคนเห็นเยอะแต่ไม่ซื้อ ส่วนแอด B เข้าถึงคนไม่เยอะเลย แต่ซื้อนะ เราก็สามารถนำลักษณะแอดที่แตกต่างกันของ A และ B มาดูว่าตอนนี้เป้าหมายในการทำการตลาดของเราคือการสร้างแบรนด์ หรือสร้างรายได้ ถ้าเป็นการสร้างแบรนด์แอด A จะเหมาะสมเพราะคนเห็นเยอะ แตถ้าต้องการสร้างรายได้แล้วละก็ ก็ต้องเลือกแอด B หรือในอีกแง่มุมหนึ่งคือ ทั้งแอด A และ B เนี่ยมันพอจะมาผสมกันยังไงได้บ้าง เพื่อจะได้ทั้งคนเห็นเยอะ และคนซื้อเยอะ ก็ถือเป็นความท้าทายของนักการตลาด และทีมคอนเทนต์สำหรับการสร้างแอดในแคมเปญต่อไป
A/B Test ต้องทำต่อเนื่อง
หากเราได้ผลวิเคราะห์จากการทำ A/B Test ครั้งแรกมาแล้ว การทำแคมเปญหรือทำแอดในครั้งต่อ ๆ ไป เราก็ควรนำผลลัทธ์ที่เราต้องการเป็นมาตรฐานในการสร้างคอนเทนต์ อย่างเช่นถ้าต้องการสร้างแบรนด์ก็ทำแอดใกล้เคียงแอดแบบ A ของแคมเปญที่แล้ว และทำแอดลักษณะใกล้เคียง แต่มีความต่างในส่วนอื่น เพื่อทำการทดสอบ A/B test เทสไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ได้รับผลลัทธ์ที่ดีที่สุดหรือยอดขายที่ดีที่สุดนั้นเอง
A/B Test case study
เชื่อไหมค่ะว่าขนาดของแบนเนอร์บนเว็บไซต์ของเราที่อยู่บนสุดเลยจะทำให้เรามียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 12%
ตัวนี้เป็น A/B Testing case study จาก Business Review ของ Harvard โดยเดสนี้เป็นเคสของ Microsoft ถ้าหากต้องการอ่านฉบับเต็มสามารถกดที่ลิงค์นี้ https://hbr.org/2017/09/the-surprising-power-of-online-experiments ได้เลยนะคะ
A/B Test ที่ทาง Microsoft ทำนั้นเป็นในส่วนที่เป็น https://bing.com/ ทางทีมการตลาดของ Microsoft อยากจะรู้ว่าขนาดตัวแบนเนอร์ที่อยู่บนสุดของหน้าเว็บไซต์เค้าเนี่ย แบบเดิมดีแล้วหรือถ้าใหญ่ขึ้นแบบไหนจะดีกว่ากัน โดยที่
1. ต้องการยอดขายเพิ่มขึ้น
2. ลูกค้าหรือคนที่เข้าเว็บไซต์ของเค้า ไม่ปิดหน้าเว็บเร็วขึ้น
ลองนึกถึงการเข้าเว็บไซต์ของเรากันดู ถ้าเรากดลิงค์เข้าเว็บไซต์แล้ว สิ่งแรกที่เจอคือแบนเนอร์โฆษณาอันใหญ่พาดเต็มหน้า หรือเจอโฆษณาเยอะ ๆ เนี่ย ในความคิดของเรา เราคงว่าไม่เวิร์คหรอก คนเข้ามาคงกดปิด และอาจจะไม่เข้ามาเว็บไซต์เราอีกเลยก็เป็นได้
แต่ในการทำ A/B testing นี้เค้าจะไม่เอาความเห็นของตัวเอง หรือคนในบริษัทเป็นหลัก เราจะเอามาแค่ไอเดียว่า มีเซตไอเดียแบบไหนบ้างเพื่อมาทำเทส ถ้าพูดง่าย ๆ เคสนี้จะมีการแบ่งหลัก ๆ ออกเป็น 2 อย่างได้แก่
1. เป็นเว็บไซต์แบบเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย
2. มีการเปลี่ยนแปลงด้วยการทำให้แบนเนอร์ด้านบนสุดของเว็บไซต์ใหญ่ขึ้น
เมื่อทำชุดทดสอบสำหรับ A/B Test แล้วก็ให้ทางนักพัฒนา (Developer) ทำเข้าไปในเว็บให้คนได้ลองใช้งานกันจริง ๆ เพื่อดูผลลัพะ์ของการใช้งานเป็นอย่างไร ซึ่งเมื่อทีมของ Microsoft ทำการเทส A/B test ออกมาแล้ว ผลลัทธ์ที่ออกมานั้นเป็นที่น่าตกใจมาก ๆ เลย เพราะว่าตัวเว็บไซต์ที่มีตัวโฆษณาที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิม ทำให้เค้ามียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 12% และคนที่เข้ามาใช้งานก็ยังใช้งานได้ปกติเหมือนเดิมเลย ยอดการเข้าชม และยอดการปิดเว็บไซต์ก็ไม่ได้แตกต่างจากเดิม
จะเห็นได้ว่า่การทำ A/B testing เนี่ย มันทำให้เราได้ผลลัพธ์ที่เราไม่คาดฝัน และผลลัพธ์ที่ไม่คาดฝันเหล่านี้ที่ทำให้เราสามารถพัฒนายอดขาย พัฒนาธุรกิจของเราในฝั่งออนไลน์ไปได้อย่างมาก
เมื่อเราทำ A/B testing จบไปครั้งหนึ่งเราเห็นว่า B ดีแล้ว เราก็ควรต้องทำการเทสต่อไป เป็น B/C test เพื่อดูว่าแบบไหนดีกว่ากัน แบบ B อาจจะดีกว่าแบบ C ที่เราคิดใหม่ก็ได้ หรือแบบ C ที่เราคิดใหม่อาจจะดีกว่า B ก็ได้
A/B testing เลยเป็นสิ่งที่นักการตลาดต้องทำต่อไปเรื่อย ๆ ไม่สามารถหยุดได้นั้นเองค่ะ