การทำเว็บไซต์ให้มีคนเข้าชมเยอะ ๆ หรือมี Traffic เยอะ ๆ นั้นเป็นเรื่องท้าทายสำหรับคนทำเว็บไซต์ในปัจจุบันอย่างมาก เนื่องจากมีเว็บไซต์ใหม่ ๆ เกิดขึ้นทุกวัน แถมเว็บเก่า ๆ ในเรื่องใกล้เคียงกับเว็บไซต์ที่เรากำลังทำอยู่ก็มีเป็นล้าน ๆ เว็บไซต์แล้ว คนที่มีเว็บช่วงแรก ๆ จึงต้องจ่ายเงินให้ Google ads เพื่อให้เว็บไซต์อยู่หน้าแรกอันดับบน ๆ ให้ได้ แต่จะให้จ่ายค่าแอดตลอดไปก็อาจจะไม่ไหว SEO หรือการปรับปรุงเว็บไซต์ให้ Google search engine ชอบเลยเป็นคำตอบสำหรับนักพัฒนาเว็บไซต์ และเจ้าของเว็บไซต์หลาย ๆ คน

SEO หรือ Search Engine Optimization

คือการใช้เทคนิคต่าง ๆ ในการปรับหน้าในเว็บไซต์ของเราให้ขึ้นมาอยู่หน้าแรกของ google search engine การทำ SEO นั้นต่างกับ SEM หรือ Search Engine Marketing หลัก ๆ 3 อย่าง ดังนี้

1. SEO ฟรี SEM เสียเงิน

SEO เป็นการปรับให้หน้าเว็บไซต์ให้มีคีย์เวิร์ด มีโครงสร้างที่เหมาะสม และต้องใช้ความพยายามในการเขียนบทความโพสต์ในเว็บไซต์หรือในบล็อกอย่างสม่ำเสมอ ส่วน SEM เปรียมเสมือน Short cut หรือ ทางลัดให้เว็บไซต์เราสามารถขึ้นหน้าแรกได้ตั้งแต่วันแรกที่สร้างขึ้นหากเราบิทโฆษณาชนะในคีย์เวิร์ด หรือคำค้นนั้น ๆ

2. SEO อยู่ตลอดไป SEM เฉพาะช่วงที่จ่าย

SEO นั้นเมื่อติดแล้วจะติดไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะมีคนที่ทำบทความดีกว่าเราออกมาหรือทาง Google มีการปรับอัลกอริทึม ส่วน SEM หากช่วงไหนที่เราไม่ได้จ่ายเงินสำหรับลงโฆษณาเว็บไซต์เราก็จะไม่ติดหน้าแรก

3. SEO ใช้เวลาขึ้นหน้าแรก SEM ใช้เงินขึ้นหน้าแรก

การทำ SEO มีขั้นตอนวุ่นวายมีหลายส่วนที่ต้องดูแล ดังนั้นกว่าจะติดหน้าแรกด้วยวิธีการ SEO นั้น ใช้เวลา ขั้นต่ำก็ 3 เดือน 6 เดือน ส่วน SEM เป็นการจ่ายเงิน ดังนั้นจ่ายบิทใน Google ads ให้มากพอก็สามารถขึ้นหน้าแรกได้ตลอดเวลาที่มีงบประมาณ

จะเห็นได้ว่า SEM นั้นเหมาะในการประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ในช่วงแรก ๆ ช่วงที่คนยังไม่ค่อยรู้จัก โดยผ่าน google ads (เรียนรู้เกี่ยวกับ google ads เพิ่มเติมได้ที่นี่ https://ads.google.com/) ในขนาดเดียวกัน เจ้าของเว็บไซต์ก็ควรจะทำการปรับปรุงหน้าเว็บไซต์ให้มีคุณภาพดี มีคีย์เวิร์ดที่ต้องการให้ลูกค้าค้นหาแล้วเจอเว็บไซต์เราอย่างพอเหมาะ เพื่อให้ google ดันเว็บไซต์เราขึ้นอันดับแรก ๆ หรือการทำ SEO ให้ติดหน้าแรกนั้นเอง

ติดหน้าแรก google ด้วยเทคนิค Long-Tail Keyword

ติดหน้าแรก google ด้วยเทคนิค Long-Tail Keyword

หนึ่งในปัจจัยที่ Google ชอบในการดึงหน้าเว็บไซต์ของเราให้ติดหน้าแรกอันดับบน ๆ คือ เนื้อหา เนื้อหาต้องเหมาะสมกับภาพรวมของเว็บไซต์ที่ทำ มีความเป็นเอกลักษณ์ (ง่าย ๆ คือไม่ได้ก็อปคนอื่นมันทั้งดุ้น หรือถ้าแต่งเองเลยก็จะได้คะแนนตรงนี้สูงหน่อย)

Long-Tail Keyword เป็นการเขียนเนื้อให้โดยให้คีย์เวิร์ดนั้นเฉพาะเจาะจงมาก ๆ อย่างเช่น แบรนด์เราขายเครื่องกรองน้ำ Long Tail keyword ที่เกี่ยวข้องจะเป็น ซื้อเครื่องกรองน้ำที่ไหนดี เครื่องกรองน้ำรับประกันยาว เครื่องกรองน้ำใกล้ฉัน เมื่อลูกค้าใช้คำค้นเหล่านี้ โอกาสที่จะเจอเว็บไซต์หรือ Social media ของเราอันดับแรก ๆ ย่อมง่ายกว่าการลุ้นให้ลูกค้าเสิร์ชคำว่า เครื่องกรองน้ำ และเจอแบรนด์ของเรา

ซึ่งเทคนิคนี้เป็นการเขียนเนื้อหาแบบหนึ่งที่ google ชอบมาก ๆ จะสังเกตุได้ว่า google มักจะดึงเว็บเพจที่มีเนื้อหายาว ๆ และมีคีย์เวิร์ดที่เฉพาะเจาะจงมาอันดับแรก ๆ

ข้อดีของการทำ SEO ด้วย Long-Tall Keyword

– ติด SEO เร็ว

ถึงแม้ว่าปริมาณคนที่เสิร์ชจะน้อยกว่าคำสั้น ๆ แต่ด้วยจำนวนคู่แข่งที่น้อยลงทำให้สามารถติด SEO ได้เร็วกว่าการเริ่มทำจากคำสั้น ๆ Long-Tall Keyword ที่เคยทำติด SEO ให้ลูกค้าได้เร็วที่สุดคือ 2 สัปดาห์

– คิดคอนเทนต์ง่าย

ด้วยความที่เป็นคีย์เวิร์ดยาว ทำให้สามารถเล่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดนั้น ๆ ได้อย่างเฉพาะเจาะจงมาก ๆ ซึ่งก็เป็นผลดีในแง่คุณภาพของเนื้อหาอีกด้วย

ติด SEO เร็วด้วยการสร้างบล็อก (Blog)

ติด SEO เร็วด้วยการสร้างบล็อก (Blog)

อีกเทคนิคหนึ่งที่เจ้าของเว็บไซต์ของสินค้าหลาย ๆ คนมองข้ามคือการสร้างบล็อก โดยไปมุ่งเน้นในการเพิ่มข้อมูลสินค้า บริการ ซึ่งบอกได้เลยคะว่าสำหรับบริษัทที่มี SKU หรือสินค้าจำกัด โอกาสที่จะติด SEO ด้วยเนื้อหาของสินค้าหรือบริการอย่างเดียวนั้นน้อยมาก

การสร้างบล็อกช่วยเพิ่มคอนเทนต์ในกับเว็บไซต์อย่างเนียน ๆ รวมทั้งยังเป็นการแสดงให้ลูกค้าเห็นถึงความรู้ ความสามารถในสิ่งที่เรากำลังขาย หรือให้บริการเค้าได้

หลักการในการเขียนบล็อกให้ติดหน้าแรก SEO เร็ว ๆ

เมื่อสร้างบล็อกแล้วบทความหรือเนื้อหาที่เขียนก็ยังเป็นสิ่งสำคัญ มาดูกันว่าสิ่งที่ควรมีในเนื้อหาของบล็อคนั้นควรจะมีอะไรบ้าง

ตั้งคีย์เวิร์ด (Keywords)

ลองค้นหาใน google ดูก่อนว่าคีย์เวิร์ดไหนคนสนใจ และมีการแข่งขันน้อย ก่อนจะปักธงคีย์เวิร์ดที่ต้องการ และพยายามเขียนให้มีคีย์เวิร์ดเหล่านั้นซ้ำ ๆ บ่อย ๆ แต่ระวังอย่าบ่อยเกินไปเดียว Google จะมองว่าเป็นการสแปมคีย์เวิร์ดไป

วางโครงสร้างเนื้อหา

เมื่อได้คีย์เวิร์ดแล้ว เราต้องพยายามแทรกคีย์เวิร์ดเหล่านั้นลงในบทความ ทั้งในส่วนหัวเรื่อง หัวข้อ และเนื้อหา โดยแทรกแบบเนียนอย่าพยายามให้เหมือนการยัดคีย์เวิร์ดจนเกินไป

ความสม่ำเสมอ

ความสม่ำเสมอเป็นอัลกอริทึมหนึ่งที่ Google search engine ชอบ

ดังนั้นหากคุณกำลังทำแบรนด์ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์สินค้า หรือจะทำเป็น personal branding หรือแม้กระทั่งสร้างตัวตนเป็น bloger และต้องการติดหน้า 1 Google เร็ว ๆ แล้วละก็ อย่าลืมใช้เทคนิคทำบล็อก โดยตั้งคีย์เวิร์ด วางโครงสร้างเนื้อหา และลงเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอนะคะ

SEO Tips

Tips เล็ก ๆ สำหรับการปรับเนื้อหาให้ติด SEO ง่ายขึ้นแบบไม่แก้โค้ด

การปรับหน้าเว็บไซต์หรือที่เรียกกันว่า On-page Optimization คือการปรับให้หน้าเว็บไซต์ของเรามีสิ่งที่ทาง Google bot ชอบ เพื่อให้ Bot ช่วยดันหน้าเว็บไซต์ขึ้นหน้าแรกเร็ว ๆ วิธีปรับหน้าเว็บไซต์ง่าย ๆ 2 อย่างที่ไม่ต้องรู้โค้ดก็สามารถทำได้ ได้แก่

1. เรียง H ให้ดี

ในการทำบทความ หรือการเรียงหน้าในเว็บไซต์นั้นมีส่วนช่วยให้ Bot อ่านเนื้อหาเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น โดย H คือ Header หรือหัวข้อ เวลาทำบทความ H1 ส่วนมากจะเป็นชื่อบทความ หรือก็คือชื่อหน้าเว็บเพจนั้น ๆ H2 จะเป็นหัวข้อในบทความ หากมีหัวข้อย่อยให้ใช้ H3 H4 ต่อ ๆ ไป

ในส่วนนี้สามารถใช้การพิมพ์งานใน Microsoft Word อ้างอิง Header ได้ เนื่องจากมีการจัดเรียงคล้ายกัน ถ้ามองให้เห็นภาพคือ
H1 คือชื่อไฟล์
H2 หัวข้อที่อยู่ในสารบัญ
H3 หัวข้อย่อยของ H2
H4 หัวข้อย่อยของ H3
ไปเรื่อย ๆ ตามลำดับ

2. เปลี่ยนชื่อรูป

Google bot นั้นเป็น Bot ที่อ่านได้เฉพาะ Text หรือข้อความ หากบทความเรามีรูปประกอบ Google Bot ก็จะเมินเฉย แบบเห็นรูปปุีบสคิปไปหาข้อความต่อไปต่อเลย

ดังนั้นหากเรามีรูปก็ต้องใช้รูปให้เป็นประโยชน์โดยการเปลี่ยนชื่อรูปให้เกี่ยวกับเรื่องราวที่กำลังนำเสนออยู่ และสามารถใส่คีย์เวิร์ดลงไปได้ด้วย

การเปลี่ยนชื่อรูปควรทำเมื่อลงรูปขณะสร้างบทความ เนื่องจากเมื่อเราอัพโหลดรูปแบบ CRM ส่วนมากจะมีช่อง alt image ให้เราพิมพ์ข้อความลงไปว่าต้องการให้รูปนี้ถูกอ่านว่าอะไร

ตัวอย่าง รูปม้า alt image ก็จะควรจะเปลี่ยนเป็นคำว่า horse

ข้อควรระวัง เขียนบทความมั่ว ๆ ใช้คีย์สแปม ระวังโดน Google แบน

หนึ่งในปัจจัยสำคัญของการทำ SEO คือการใส่คีย์เวิร์ดลงในบทความ แต่ถ้าเราใส่แบบยัดอัดแน่นเต็มพื้นที่ในเนื้อหานอกจากคนอ่านจะไม่เข้าใจแล้ว โอกาสที่จะตกอันดับก็มี แถมโอกาสที่จะโดนแบนก็สูง และสุดท้ายโอกาสในการกลับมาติดหน้าแรกอีกรอบนั้นจะริบหรี่มาก

ยกตัวอย่างเช่น เราเขียนบทความและใส่คีย์เวิร์ดเข้าไปมาก ๆ จนในที่สุดบทความก็ติดหน้าแรกของ Google พอติดอันดับแล้วคนก็จะเข้ามาอ่านบทความเราเยอะขึ้น ซึ่งถ้าคนอ่านแล้วไม่เข้าใจ อาจจะเกิดอาการงง ทำไมเขียนซ้ำ เอ๊ะ ทำไม่เนื้อหาไม่เห็นเกี่ยวข้องกับคำค้นที่หาเลย และ เรามาอ่านบทความอะไรอยู่เนี่ย

เมื่อถึงข้อสุดท้าย แน่นอนว่าสิ่งที่เราทำต่อไปก็คือการปิดหน้าเว็บไซต์นั้น ๆ ซึ่งการปิดหน้าเว็บไซต์โดยใช้เวลาในหน้านั้น ๆ น้อย มีศัพท์ทางการตลาดคือ Bound rate สูง ซึ่งการมี Bound rate สูงอย่างต่อเนื่อง ก็จะดึงความ เอ๊ะ ไปยัง Google Bot แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น เมื่อเกิดการวิเคราะห์บทความในเว็บไซต์อีกครั้งแล้วเจอว่าเป็นการสแปมคีย์เวิร์ด เว็บไซต์นั้นก็ยากที่จะเกิดอีกต่อไป

สรุปเทคนิคติด SEO

การสร้างเนื้อหาที่มีเอกลักษณ์ มีคีย์เวิร์ดแบบ Long-Tall Keyword ที่ชัดเจน รวมทั้งการเรียบเรียงเนื้อหาของเนื้อหาให้สามารถอ่านเข้าใจง่าย ๆ เรียงแบบมี H1 H 2 H3 ไล่ลงมาตามลำดับ รวมทั้งการใส่ข้อความใน alt ของรูป รวมทั้งการระวังการลอกเลียนแบบบทความจากแหล่งอื่น และการใช้คีย์เวิร์ดที่ซ้ำเยอะเกินไป เหล่านี้เป็นเทคนิตเล็ก ๆ และง่าย ๆ ที่คนสร้างเว็บไซต์สามารถนำไปปรับใช้เพื่อให้เว็บไซต์สามารถติด SEO ได้เร็วขึ้น